Horizon

Thursday, September 1, 2016

[Cloud] Internet of Things หรือ IoT การเชื่อมต่อเปลี่ยนโลก

[Cloud] Internet of Thing หรือ IoT การเชื่อมต่อเปลี่ยนโลก

ทุกวันนี้ เราคงได้ยินได้รับฟัง คำว่า Internet of Things มากันบ้างแล้ว แต่บางทีก็งง เอ๊ะ มันคืออะไรกันนะ แล้วจะมามีบทบาทอะไรกับเราแบบไหนยังไง วันนี้ Admin จึงจะขอมาเล่ากล่าวของคำว่า IoT กัน

IoT คือ สิ่งของรอบ ๆ ตัวเรา มันฉลาดมากขึ้น สามารถที่จะคุยกัน หรือส่งสัญญาณหากันได้ และสามารถคิดเอง และทำงานเองอัตโนมัติ ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ถ้าห้องคอนโดเปิดแอร์ไว้ เจ้าของออกไปทำงาน อุปกรณ์ตรวจพบว่า ไม่มีคนอยู่ในห้องแล้ว 1 ชั่วโมง ก็จะสั่งการให้ปิดแอร์เอง อื้ม ตัวอย่างนี้เข้าท่า ลดโลกร้อนด้วย

เอาหล่ะ นี่แหละ คือตัวอย่างง่าย ๆ ทีนี้ มาลองดูการทำงานของตัวอย่างกัน

ในขณะที่เจ้าของห้องอยู่ในห้อง อุปกรณ์ตรวจจับ อยู่มุมขวาบน แจ้งไปที่ แอร์ ให้ทำงาน

เมื่อเจ้าของห้องออกไปข้างนอก อุปกรณ์ตรวจจับ ไม่พบเจ้าของห้อง ก็จะเริ่มนับเวลา (ระยะเวลานี้ สามารถตั้งได้ว่าจะเอากี่นาที กี่ชั่วโมง) หากครบเวลาที่ตั้งไว้ ก็จะส่งคำสั่งไปปิดแอร์
การตรวจจับ การส่งคำสั่ง เหล่านี้ จะทำผ่านระบบเครือข่าย เช่น Internet หรือ Wi-Fi ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ จะต้องมีความสามารถในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายด้วย

นอกจากนี้ ยังสามารถที่จะสั่งการผ่านอุปกรณ์ของผู้ใช้งานได้ด้วย เช่น Tablet, Notebook หรือแม้แต่ Smart Phone นั่นเอง

ตัวอย่างที่เป็น IoT อื่น ๆ นอกจากการใช้งานในระบบเล็ก ๆ เช่น ในห้อง หรือในบ้าน แล้ว ก็ยังมีตัวอย่างอื่น ๆ อีก เช่น ระบบแปลงปลูกพืชอัฉริยะ รวมถึงการนำมาใช้งานในระบบอุตสาหกรรมได้อีกด้วย

หัวใจของ IoT จะมี อุปกรณ์ตรวจจับ (Sensor) ที่เป็นดังสมองกล ที่จะสั่งการตามเงื่อนไขต่าง ๆ และการเชื่อมต่อเครือข่ายของอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่รับ และส่งสัญญาณต่าง ๆ

อ้างอิง
http://www.bangkokgis.com/bangkokgis_2008/system_file/-t1439539799.pdf




Thursday, August 25, 2016

[Wi-Fi] เมื่อ WiFi เล่นกับคลื่น จึงเกิดเป็นTransmit Beamforming (Tx Beamforming)

เมื่อ WiFi เล่นกับคลื่น จึงเกิดเป็นTransmit Beamforming (Tx Beamforming)

ในปัจจุบันนี้ อุปกรณ์ Access Point จะมีมาตรฐาน IEEE 802.11ac มากำกับ ในเรื่องของการรับส่งสัญญาณ โดยในมาตรฐาน IEEE 802.11ac นั้น เบื้องต้น จะมีหลายข้อออกมา เช่น จำนวน QAM, ความเร็วสูงสุด, คลื่นความถี่ 5 GHz และอื่น ๆ อีกมากมาย ในวันนี้ จะขอหยิบยกมาคือเรื่อง Transmit Beamforming (Tx Beamforming)


อะไรคือ Tx Beamforming ???

ทำไม ไม่เคยได้ยิน Vendor ของอุปกรณ์ WiFi กล่าวถึงกัน มันคืออะไรกันนะ

คำตอบคือ เป็นเทคนิคลูกเล่นกับคลื่น (Frequency) ที่ใช้ส่งสัญญาณของเสาอากาศ (Antenna) ที่มีตั้งแต่ 2 ต้นขึ้นไป เนื่องด้วยความคิดที่ว่า มีเสาอากาศ 2 ต้น แต่ละต้น ก็สามารถส่งคลื่นความถี่ออกไปได้ แล้วถ้าหากว่า สามารถเอาคลื่น ทั้ง 2 คลื่นนี้ มารวมพลังกันเพื่อเป็นคลื่นที่มีกำลังสูง จะได้หรือไม่ นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของ Tx Beamforming นี่เอง

เอ้า มันเป็นยังไง การรวมคลื่น มาลองดูภาพของ คลื่นที่ส่งออกไปกัน

มีเสาอากาศ 1 ต้น ส่งคลื่นออกไปดังรูปนี้

ถ้ามีเสาอากาศ 2 ต้น ส่งคลื่นออกไป ก็จะเป็นดังรูปนี้

และถ้าหากว่า คลื่นที่ส่งออกไป มีเฟส (Phase) ที่ตรงกัน (in Phase) ก็ให้จับมารวมกันซะ

หลักการง่าย ๆ สวย ๆ หรู ๆ แต่ในความเป็นจริงหล่ะเป็นอย่างไร

รูปแสดงหลักการส่งคลื่นออกไป ด้วย เฟส ที่เท่ากันของ เสาอากาศ ทั้ง 2 ต้น
คลื่นของเสาต้นแรก ให้เป็นสีส้ม และคลื่นของเสาต้นที่สอง ให้เป็นสีน้ำเงิน
คลื่นทั้งสองส่งออกมาในเฟสที่เท่ากัน จะมีจังหวะที่คลื่นซ้อนกัน ดังรูป

ตำแหน่งเหล่านี้แหละ คือจุดที่คลื่นมีเฟสที่ตรงกัน (in Phase) ซึ่งแปลว่า จะได้รับสัญญาณที่แรงขึ้น (โดยในทางทฤษฎีคือ แรงเป็น 2 เท่า) นั่นก็แปลว่า ถ้าตำแหน่งที่ผู้ใช้งาน อยู่ในจุดดังกล่าว ก็จะสามารถใช้งานได้ดีขึ้นนั่นเอง

แต่ ช้าก่อน !!!!

ในฐานะผู้ใช้งาน แล้วจะรู้ได้ไงว่า ต้องไปนั่ง ไปยืนตรงจุดไหน  ???

เรื่องนี้ IEEE และ WiFi Alliance เค้าคิดกันไว้แล้ว ก่อนที่ Admin จะเขียนบทความนี้

วิธีการคือ Implicit Beamforming และ Explicit Beamforming
- Implicit Beamforming
      คือหน้าที่การคิดว่า จะส่งคลื่นในแต่ละเสาด้วยเฟสอะไร โยนไปให้ Access Point ทำ โดยอุปกรณ์ Access Point จะต้องทำหน้าที่ คิดคำนวนว่า Client ใช้งานอยู่ตรงไหน และทำการส่งคลื่นออกไปด้วย เสาที่อยู่ใกล้กับ Client ก่อน และให้เสาอากาศอีกต้นส่งคลื่นตามหลังไป เพื่อหวังว่า เมื่อ Client ได้รับคลื่นของเสาทั้งสองต้น จะได้รับการรวมคลื่น เพื่อให้ได้สัญญาณที่แรงขึ้น
    หลักการเหมือนจะดูดี คือแค่ Access Point สามารถทำงานแบบ Tx Beamforming ได้ ก็ได้แล้วนี่นา แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลักการ Implicit Beamforming นี้ ไม่ Work !!! เลยแม้แต่น้อย

- Explicit Beamforming
    หลังจากความผิดหวังของการคิดค้น Implicit Beamforming ก็มาคิดใหม่ เอาหล่ะ ในเมื่อยกหน้าที่ Access Point เป็นคนคิดไม่ได้ งั้น โยนมาให้ Client บ้างหล่ะ จะเป็นไร
    หลักการคือ Client เมื่อจะใช้งาน ก็จะส่งตำแหน่งไปแจ้งแก่ Access Point ก่อน เมื่อ Access Point ได้รับทราบถึงตำแหน่งแล้ว ก็จะคิดคำนวนว่า เสาอากาศแต่ละต้น จะส่งสัญญาณออกไปด้วย เฟส อะไร เพื่อให้ Client ได้รับสัญญาณที่แรงขึ้น

Oh WOWWWW !!!!
เอาหล่ะ ขอบอกว่า Exlicit Beamforming ใช้งานได้จริงบนโลกในนี้แล้ว
แต่ .....  อะไรกันอีกหล่ะเนี่ย

Client จะต้องมีความสามารถ Explicit Beamforming และ Access Point ต้องสามารถทำ Tx Beamforming ด้วย

ที่ยากยิ่งกว่างมเข็มในทะเล คือ Client ที่ทำ Explicit Beamforming นี่แหละ ที่มันหายาก ในท้องตลาด เท่าที่เคย Search หา ก็เช่น Lenovo ThinkPad X


เกริ่นนำก่อนในเรื่องของมาตรฐาน IEEE 802.11ac ที่ว่ามานั้น อันว่า Tx Beamforming เป็นความสามารถหนึ่งที่ จะมีหรือ ไม่มีก็ได้ ..... นั่นก็เพราะว่า ทฤษฎีของการทำงานนั้นดีเยี่ยม แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันยังไม่สามารถใช้งานได้จริง ๆ นั่นเอง ก็เลยไม่ได้เป็นที่นิยม และยังไม่ได้เป็นเทคโนโลยีบังคับในมาตรฐาน IEEE 802.11ac นั่นเอง

Wednesday, August 3, 2016

[Wi-Fi] เสาอากาศนั้น สำคัญไฉน (Antennas)

[Wi-Fi] เสาอากาศนั้น สำคัญไฉน (Antennas)

หลังจากที่บทความก่อนหน้านี้ จะได้กล่าวถึง การรับส่งสัญญาณของระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN : WLAN) ไปค่อนข้างมากแล้ว แต่ดันลืมที่จะอธิบายถึงพื้นฐานอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือ ตัว เสาอากาศนั่นเอง


เนื่องด้วยการรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย สิ่งที่สำคัญคือเรื่องของเสาอากาศ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างมาก จะสามารถเชื่อมต่อกันได้หรือไม่ ก็อยู่ที่อุปกรณ์เสาอากาศนี่แหละ ซึ่งรูปแบบของเสาอากาศนั้น บนโลกใบนี้ ตั้งแต่โบราณกาลมา และก็ยังคงใช้งานอยู่ ก็จะมีรูปแบบดังนี้

1. Parabolic Antenna
ชื่อมาสวยหรู แต่ง่าย ๆ คือ เสาอากาศที่ส่งสัญญาณที่เป็นทิศทาง เอ แล้วมันเป็นยังไงกันนะ ง่าย ๆ เลย ลองปิดตา แล้วนึกถึงจานเรดาร์ มันจะมีรูปร่าง โค้ง ๆ กลม ๆ คล้าย ๆ ถ้วย หันไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง นั่นแหละ คือเสาอากาศแบบ Parabolic Antenna
ลักษณะของสัญญาณ
 มีลักษณะการรับส่งสัญญาณ ที่เป็นทิศทางที่ชัดเจน (หันถ้วยไปทางไหน ก็ยิงสัญญาณไปทางนั้น)

ข้อดี
สัญญาณมีทิศทางที่ชัดเจน ดังนั้น ระยะทางไปได้ไกล (จานเรดาร์ สามารถรับส่งสัญญาณจากพื้นโลก ไปยัง ดาวเทียมในอวกาศได้เลย)
ไม่ส่งสัญญาณรบกวน (interference) ไปยังบริเวณอื่น ๆ ที่ไม่อยู่ในทิศทาง
ข้อเสีย
สัญญาณมีทิศทางที่ชัดเจน ดังนั้น หากไม่ได้อยู่ในทิศทางของสัญญาณ จะไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้เลย
ดังนั้น เราก็อาจจะเคยได้เห็น การติดตั้งเสาอากาศแบบนี้ เพื่อมาแก้ไขปัญญาเฉพาะหน้ากัน



2. Omni-Directional Antenna
เสาอากาศพิมพ์นิยมของระบบเครือข่ายไร้สายในโลกปัจจุบัน จากเสาอากาศแบบ Parabolic ซึ่งส่งสัญญาณเป็นทิศทาง แต่ถ้าเป็นการใช้งานระบบเครือข่ายไร้สายในปัจจุบันนี้ ไม่ได้ใช้งานอยู่ในบริเวณแคบ ๆ รวมถึงการเคลื่อนที่ไป ๆ มา ๆ ของผู้ใช้งาน ดังนั้น หากจะไปล๊อคว่า ให้ใช้งานได้แค่ตรงจุดนี้เท่านั้น ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เสาอากาศแบบ Omni-Directional Antenna จึงได้มาช่วยตอบโจทย์นี้ โดยตัวเสาอากาศจะสามารถกระจายสัญญาณไปรอบ ๆ เสาอากาศได้ 360 องศาเลยทีเดียว ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ข้างหน้า ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างหลัง ก็จะสามารถใช้งานได้

ลักษณะของสัญญาณ
เป็นลักษณะแบบโดนัท คือ ถ้ามองมุมบน (top view) จะเป็นวงกลม แต่มองด้านข้าง (side view) จะเป็นคล้าย ๆ เลขแปด

ข้อดี
สามารถรับส่งสัญญาณได้รอบด้าน ดังนั้นสามารถกระจายสัญญาณได้ครอบคลุม
ข้อเสีย
เรื่องของระยะสัญญาณ จะมีผลต่อความเข้มของสัญญาณ ถ้าผู้ใช้งาน อยู่ใกล้ ก็จะได้รับสัญญาณจากเสาอากาศที่แรง ในทางกลับกัน ถ้าอยู่ระยะไกล ก็จะได้สัญญาณอ่อนลงไปเรื่อย ๆ
ลักษณะสัญญาณเป็นทรงกลม ดังนั้น ในการออกแบบจุดติดตั้ง ถ้าต้องการให้ได้พื้นที่ครอบคลุม (Coverage Area) จำเป็นจะต้องออกแบบให้มีบางจุดที่เหลื่อมล้ำกันอยู่ ซึ่งจุดที่มีการเหลื่อมล้ำของสัญญาณ จะเกิดสัญญาณรบกวนขึ้น ถ้าไปใช้งานในบริเวณดังกล่าว อาจจะมีปัญหาในการใช้งานได้

3. Hybrid Antenna
คือการนำเอาข้อดี ของเสาอากาศทั้ง 2 แบบมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ในยุคเริ่มแรก ก็คือ การจับเอา Parabolic Antenna มาทำให้สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ อ่ะ ตัวอย่างง่าย ๆ คือ สมัยก่อน (ไม่แน่ใจตอนนี้ยังมีอยู่มั๊ย) คือ เสาเรดาร์ตามสนามบิน


ซึ่งอาศัยว่า ที่ฐานหมุนได้ เพื่อให้สัญญาณกวาดเป็นวงกลมไปรอบ ๆ ซึ่งก็สามารถส่งสัญญาณได้ไกล และรอบ ๆ ตัว แต่ว่า จังหวะที่สัญญาณหลุดไปก็มี
(แต่เอิ่ม เอาของแบบนี้มาใช้ในระบบ WLAN คงจะไม่เหมาะ)

แนวคิดนั้น ยังไม่จบ เมื่อมีบริษัทที่ทำอุปกรณ์ Access Point ได้เอาแนวคิดนี้ มาใส่ไว้ในอุปกรณ์ Access Point นั่นคือ ยี่ห้อ Ruckus Wireless


https://www.ruckuswireless.com/

ซึ่งได้นำเอาแนวคิดที่ว่า ต้องกระจายสัญญาณได้รอบตัวแบบ Omni-Direction Antenna และต้องสามารถส่งสัญญาณแบบทิศทางแบบ Parabolic Antenna เพื่อให้ได้ระยะทางการรับส่งที่ไกล และสัญญาณที่แรง

อื้ม เข้าท่า ๆ แต่เนื่องจากทาง Ruckus Wireless ได้จดสิทธิบัตรไว้ ทำให้ยี่ห้ออื่นๆ ไม่สามารถทำตามได้นั่นเอง

Tuesday, July 26, 2016

[Wi-Fi] MU-MIMO ตอนที่ 2 มารู้จักกับอุปกรณ์กันเถอะ


[Wi-Fi] MU-MIMO ตอนที่ 2 มารู้จักกับอุปกรณ์กันเถอะ

หลังจากที่มีบทความเรื่อง MU-MIMO ไปก่อนหน้านี้แล้ว
[Wi-Fi] มารู้จักกับ MU-MIMO กันเถอะ

อาจจะยังคงมีข้อสงสัยกันว่า ไอ้เจ้าอุปกรณ์ Endpoint ที่สนับสนุน MU-MIMO ถึงจะสามารถทำงานร่วมกับ Access Point แบบ MU-MIMO ได้นั้น มันเป็นยังไง หาซื้อได้ที่ไหน ตอนนี้ใช้งานได้จริงหรือยัง


ตัวอย่างที่ 1
อุปกรณ์ Access Point มีเสารับส่งแบบ 4x4 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO จำนวน 3 streams
อุปกรณ์ Endpoint #1 มีเสารับส่ง แบบ 2x2 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
อุปกรณ์ Endpoint #2 มีเสารับส่ง แบบ 1x1 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
อุปกรณ์ Endpoint #3 มีเสารับส่ง แบบ 1x1 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
ใช้งานได้พร้อมกัน 3 เครื่อง


ตัวอย่างที่ 3
อุปกรณ์ Access Point มีเสารับส่งแบบ 4x4 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO จำนวน 3 streams
อุปกรณ์ Endpoint #1 มีเสารับส่ง แบบ 2x2 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
อุปกรณ์ Endpoint #2 มีเสารับส่ง แบบ 1x1 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
อุปกรณ์ Endpoint #3 มีเสารับส่ง แบบ 1x1 แต่ไม่สนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO

ใช้งานได้พร้อมกัน 2 เครื่อง 

ดังนั้น ทาง Admin เองได้พยายามเสาะหาว่า มี Access Point และ อุปกรณ์ Endpoint อะไรบ้างในท้องตลาดบ้านเรา ที่สามารถใช้งานได้ วันนี้ได้ข้อมูลมา ว่า มีอะไรกันบ้าง มาดูกัน

เริ่มจาก Access Point

อุปกรณ์ Smart Phone และ Tablet


และตามด้วย Laptop หรือ Notebook

ก็จะเห็นว่า มีบางรุ่นบางยี่ห้อ ที่สามารถหาได้ในตลาด IT บ้านเราแล้ว ยังไงหากทาง Admin ได้มีโอกาสได้ทดสอบการใช้งานจริง จะนำมาแชร์ประสบการณ์ในโอกาสหน้าครับ

ที่มา
https://www.qualcomm.com/media/documents/files/vive-mu-mimo-device-list.pdf

Wednesday, May 4, 2016

[Cloud] มารู้จักกับ Everything-As-A-Service (Xaas) กัน

รู้จักกับ Everything-As-A-Service (XaaS)

 การมาของ Cloud Computing ทำให้ระบบต่าง ๆ ในโลก IT ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยจะใช้คำว่า –As-A-Service มาเกี่ยวข้อง เช่น IaaS, PaaS, SaaS เป็นต้น จึงใช้ตัวย่อ ๆ แทนว่า XaaS แล้วแต่ละคำ มันคืออะไร มาเข้าใจกันในบทความนี้ได้เลย 

As-A-Service คือ อะไร
As-A-Service คือ การให้บริการอะไรซักอย่าง ที่ต้องการจะใช้งาน เช่น

Software-As-A-Service: SaaS เมื่อผู้ใช้งานต้องการใช้งานโปรแกรมบัญชี โปรแกรมวิเคราะห์ยอดขาย ดังนั้น ผู้ใช้งาน (client) ต้องการ (request) การใช้งานโปรแกรม (Software) ดังนั้น ผู้ให้บริการ (Service) ก็ทำการสร้างโปรแกรมให้ตามความต้องการ (Software-As-A-Service: SaaS) ซึ่งผู้ใช้งาน ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่า ไอ้เจ้าซอฟต์แวร์ตัวนี้ ไปติดตั้งบนเครื่อง Server อะไร เป็น Linux หรือ Windows มีการติดตั้ง Plug-in อะไรเพิ่มเติม ต้องเชื่อมต่อกับ Database อะไร ผู้ใช้งานต้องการแค่ Username และ Password ที่สามารถเข้าไปใช้งานโปรแกรมนั้นได้ และมีฟังก็ชั่นที่ใช้งานได้ตามที่ต้องการเท่านั้นเอง หน้าที่การเตรียมเป็นของผู้ให้บริการ ที่จะจัดเตรียมเอาไว้ให้ ตัวอย่างของ SaaS ได้แก่ Saleforce, Amazon หรือพวก Google, Hotmail เป็นต้น

Platform-As-A-Service : PaaS อันนี้ลึกลงไปในรายละเอียดมากกว่า SaaS แล้ว โดยจะเป็น ผู้ใช้งาน (client) ที่ต้องการให้เตรียมเครื่อง Server ให้ตามความต้องการ เช่น ออกแบบไว้แล้วว่า ระบบโปรแกรม ต้องติดตั้งลงบนเครื่อง Server ที่มี OS. CPU, Memory, Harddisk และมี Network อย่างไร จำนวน 5 เครื่อง ดังนั้น ผู้ให้บริการ จะต้องเตรียมเครื่อง Server ตามความต้องการให้แก่ผู้ใช้งาน การติดตั้งโปรแกรม หรือการตั้งค่าอื่น ๆ ผู้ใช้งานจะเป็นคนจัดการเอง

Infrastructure-As-A-Service : IaaS อันนี้ก็ลึกล้ำเข้าไปอีกกว่า Paas เพราะ ผู้ใช้งาน จะเป็นคนร้องขอถึงระดับ Infrastructure ของระบบเลย คือ นอกเหนือจากความต้องการชอง PaaS แล้ว ผู้ใช้งาน สามารถระบุเพิ่มเติมอื่น ๆ อีก เช่น ระบบ Network, VLAN, ระบบรักษาความปลอดภัย Firewall , Access Control ระบบจัดเก็บข้อมูล Disk Storage เรียกง่าย ๆ คือ เหมือนต้องการห้อง DataCenter เลยก็ว่าได้ แต่แทนที่ผู้ใช้งานจะต้องลงทุนสร้างทั้งหมด (เพราะการสร้างห้อง DataCenter ขึ้นมาใหม่เองนั้น มีค่าใช้จ่ายที่สูง เพราะนอกจากระบบเครื่อง Server แล้ว ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย เช่น ระบบป้องกันไฟไหม้ ระบบป้องกันความชื้น ระบบกล้องวงจรปิด ฯลฯ ซึ่งการจะลงทุนสร้าง อาจจะใช้เวลานานเป็นปี แต่ความต้องการใช้งานคือ เร็ววันนี้) ก็จะเป็นการร้องขอ (request) ให้แก่ผู้ให้บริการว่า ให้เตรียมอุปกรณ์เหล่านี้ให้แก่ผู้ใช้งาน

ทั้งนี้แล้ว ระบบ Cloud Computing ในมุมมองของ ผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการ จะแตกต่างกัน ไป
มุมมองของผู้ใช้งาน ก็จะมองว่า ต้องการอะไร ใช้งานได้ครบถ้วนหรือไม่ ก็ต้องใช้งานได้อย่างนั้น ไม่ได้ลงรายละเอียดว่า จะต้องมีส่วนประกอบ Infrastructureใดบ้าง



และมุมมองของผู้ให้บริการคือ การตอบสนองการร้องขอ โดยมุ่งเน้นที่ ความเร็วในการตอบสนองเป็นหลัก จึงมีส่วนกับในเรื่องการเตรียม Infrastructure เป็นหลัก


เอวังด้วยประการฉะนี้แล

Tuesday, March 29, 2016

[Wi-Fi] มารู้จักกับ MU-MIMO กันเถอะ

มารู้จักเทคโนโลยี Multi User MIMO (MU-MIMO) ของอุปกรณ์ Wi-Fi กัน
ก่อนที่จะเข้าเรื่อง มาเริ่มต้นที่คำถามที่ว่า อะไรคือ MIMO? อะไรคือ Multi User? ซึ่ง 2 คีย์เวิร์ดนี้ จะเป็นตัวแปรสำคัญของบทความนี้

MIMO – Multi Input Multi Output
สำหรับคนที่ได้เคยเห็นคุณสมบัติของอุปกรณ์ Access Point อาจจะคุ้นหูคุ้นตากันดีอยู่แล้ว กับคำว่า MIMO หรือ อาจจะเคยเห็นตัวเลข 2x2, 3x3, 4x4 แบบนี้ ตัวเลขเหล่านี้ คือ จำนวนของ เสารับสัญญาณ (Input) และ เสาส่งสัญญาณ (Output) ซึ่ง จะหมายถึงอุปกรณ์ Access Point สามารถรับสัญญาณ และส่งสัญญาณ กับอุปกรณ์ Endpoint Client ได้กี่เสา ทั้งนี้ ทั้งอุปกรณ์ Access Point และอุปกรณ์ Endpoint Client จะต้องสนับสนุนทั้งคู่ด้วย โดยในบทความก่อนหน้านี้ ได้กล่าวถึงทฤษฎีของการรับส่งข้อมูล และการรอคิว เช่น Access Point เป็นแบบ 3x3 แต่ Endpoint Client เป็นแบบ 2x2 ในการรับส่งข้อมูลกัน ก็จะทำได้เพียง 2x2 เท่านั้น แต่ถ้า Endpoint Client เป็น 1 เสา ก็จะใช้ได้เพียง 1 เสาเท่านั้น โดยเทคโนโลยี MIMO นั้น จะเริ่มมีตั้งแต่ IEEE 802.11n ขึ้นไปเท่านั้น สำหรับ IEEE 802.11a,b,g ยังไม่มีมาตรฐานนี้
แล้วการที่มีเสาสัญญาณที่มากกว่า 1 เสา ดีกว่าอย่างไร
ว่ากันด้วยเรื่องของเทคโนโลยี Wi-Fi มีความเร็วที่แตกต่างกันนั้น เช่น อุปกรณ์ Access Point เป็นแบบ IEEE 802.11n เหมือนกัน แต่ทำไมมีความเร็วที่ไม่เท่ากัน ตัวอย่าง


แบบ 3x3

แบบ 2x2


ซึ่งเราจะเห็นว่า 1 เสาสัญญาณ จะมีความเร็วรับส่งที่ 150 Mbps แต่ถ้ามีเสาสัญญาณหลาย ๆ ต้น จะเห็นว่า มีความเร็วที่เพิ่มขึ้นด้วยแล้วอุปกรณ์ Endpoint Client หล่ะ ?
เนื่องจากอุปกรณ์ Access Point นั้นมีความเร็วในการรับส่งแล้วอุปกรณ์ Endpoint Client ถ้าอยากได้ความเร็วแบบนี้ ก็ต้องมีเสาสัญญาณรับส่งที่มากกว่า 1 ต้นด้วยเช่นกัน

MacBook


แต่ถ้า อุปกรณ์ Endpoint Client มีเสาเพียง 1 ต้น ก็จะใช้งานได้ที่ความเร็วสูงสุดของเสา 1 ต้นเท่านั้น
แล้วเสาสัญญาณที่เหลืออยู่หล่ะ จะเอาไปใช้งานอะไรได้บ้างมั๊ย ???
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่ว่า อุปกรณ์ Access Point มีเสาสัญญาณหลายต้น แต่ถ้าใช้งานจริงได้ไม่เต็มจำนวนจะทำอย่างไรให้คุ้มค่าต่อเงินที่ลงทุนซื้อมา นั่นคือ การนำเอาเสาที่เหลืออยู่มาใช้งานให้แก่อุปกรณ์ Endpoint Client เครื่องอื่น ๆ ที่รอคิวในการใช้งานอยู่ด้วย เพื่อลดการรอคิว และให้ใช้งานได้เต็มที่
สำหรับเรื่องของการรอคิว ได้มีบทความก่อนหน้านี้สามารถอ่านได้ที่นี่
[Wi-Fi] How Wi-Fi Works และ Air Time Fairness

Multi-User MIMO (MU-MINO)
เทคโนโลยี MU-MIMO นั้น คือการนำเสาสัญญาณ ที่เหลืออยู่มาใช้กับอุปกรณ์ Endpoint Client เครื่องอื่น ๆ ที่อยู่ในคิวการใช้งาน ดังนั้น จำนวนของ “เสา” จะมีบทบาทขึ้นมาทันที โดยมีตัวอย่างดังนี้
ตัวอย่างที่ 1
อุปกรณ์ Access Point มีเสารับส่งแบบ 4x4 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO จำนวน 3 streams
อุปกรณ์ Endpoint #1 มีเสารับส่ง แบบ 2x2 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
อุปกรณ์ Endpoint #2 มีเสารับส่ง แบบ 1x1 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
อุปกรณ์ Endpoint #3 มีเสารับส่ง แบบ 1x1 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
ใช้งานได้พร้อมกัน 3 เครื่อง


ตัวอย่างที่ 2
อุปกรณ์ Access Point มีเสารับส่งแบบ 4x4 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO จำนวน 3 streams
อุปกรณ์ Endpoint #1 มีเสารับส่ง แบบ 2x2 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
อุปกรณ์ Endpoint #2 มีเสารับส่ง แบบ 2x2 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
อุปกรณ์ Endpoint #3 มีเสารับส่ง แบบ 1x1 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
ใช้งานได้พร้อมกัน 2 เครื่อง


แล้วถ้า Endpoint Client บางเครื่อง สนับสนุน MU-MIMO และบางเครื่อง ไม่สนับสนุน MU-MIMO หล่ะ ???
ตัวอย่างที่ 3
อุปกรณ์ Access Point มีเสารับส่งแบบ 4x4 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO จำนวน 3 streams
อุปกรณ์ Endpoint #1 มีเสารับส่ง แบบ 2x2 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
อุปกรณ์ Endpoint #2 มีเสารับส่ง แบบ 1x1 และสนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
อุปกรณ์ Endpoint #3 มีเสารับส่ง แบบ 1x1 แต่ไม่สนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO
ใช้งานได้พร้อมกัน 2 เครื่อง 



ก็จะเห็นว่า แม้จะมีเสาสัญญาณว่างอยู่ แต่ถ้าอุปกรณ์ Endpoint Client ไม่สนับสนุนการใช้งานแบบ MU-MIMO ก็จะไม่สามรถใช้งานได้

ในตอนนี้ อุปกรณ์ Endpoint Client ส่วนใหญ่ (กว่า 95%) ยังไม่สนับสนุนการใช้งาน MU-MIMO แต่จะมีเพียงบางรุ่นที่สนับสนุนการใช้งาน ดังนั้น ในแง่ของการใช้งาน MU-MIMO จะยังไม่เห็นชัดมากนัก คงจะต้องรอไปอีกสักพัก (ใหญ่ ๆ) กว่าจะได้ใช้งาน MU-MIMO ด้วยประการฉะนี้แล

<script async src="//pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js"></script>
<!-- itnewhand_main_Blog1_1x1_as -->
<ins class="adsbygoogle"
     style="display:block"
     data-ad-client="ca-pub-4197180350873211"
     data-ad-slot="5037792087"
     data-ad-format="auto"></ins>
<script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

</script>